หลายๆครั้ง คนชอบมองว่าพอปักยาแล้วทำให้อารมณ์เสียง่ายกว่าปกติ
เรื่องตรงนี้ ก็จริงส่วนนึง และ ไม่จริงส่วนนึง
อย่างแรกเลย ยาที่เราใช้เข้าไป มันจะส่งผลให้ผู้ใช้บางคนมีความก้าวร้าวขึ้น แต่ในบางคน ใช้เหมือนๆกัน แต่กลับไม่ได้มีอาการดังกล่าวเลย
ปัจจัย มันไม่ได้อยู่ที่ยาอย่างเดียว แต่มันอยู่ที่ พฤติกรรม และ ชีวิตประจำวันของตัวผู้ใช้ด้วย
ยกตัวอย่างเช่น ผู้ใช้คนที่ 1 ใช้ยาโดส XXX mg มีอาชีพเป็นเซลล์ ที่ต้องพบปะลูกค้า และ ถูกกดดันยอดขายจากทางเจ้านายอีกที
เนื่องด้วยอาชีพที่มีความเครียด และ ความกดดันสูงอยู่แล้ว สภาพแวดล้อมเหล่านี้ ก็จะทำให้ตัวผู้ใช้มีความหงุดหงิด และ โมโหได้ง่ายเป็นทุนเดิม พอใช้ยา สิ่งเหล่านี้ ก็จะมีโอกาสทำให้หงุดหงิด และ โมโหง่ายขึ้นกว่าเดิม
ในบางคนไดเอท สารอาหารที่ทานเข้าไป ก็มีปริมาณน้อยลง นั่นก็เป็นอีกปัจจัย ที่ให้ตัวเรานั้นหงุดหงิดง่ายขึ้น ผนวกกับพอเราออนยา คนก็เลยคิดว่าเป็นเพราะยาที่ใช้ทันที ทั้งๆที่ การกินน้อยลดก็เป็นปัจจัยหลักๆเลย ที่ทำให้ภาวะทางอารมนั้นแปรปรวนอยู่บ่อยๆ
ในทางกลับกัน ตัวอย่างที่ 2
ใช้ยาโดส XXX mg มีอาชีพเป็นเจ้าของบริษัท มีเวลาว่างเยอะ และ มีความเครียดต่ำ แน่นอนครับว่า อาการหงุดหงิด โมโห ก็มีความเป็นไปได้ แต่น้อยกว่าตัวอย่างแรก
ผมจึงอยากให้ผู้ใช้ทำความเข้าใจเรื่องตรงนี้ให้มากขึ้น ว่าสิ่งที่หลีกเหลี่ยงไม่ได้คือ สภาพแวดล้อม และ ความกดดันของแต่ละคนไม่เหมือนกัน
เราไม่สามารถนำ คนๆนั้น มาเป็นเกณฑ์ วัดได้ ว่าทำไม คนนี้ใช้ แล้วโมโหง่าย คนนนี้ใช้ ไม่โมโหเลย
วิธีการแก้คือ เราต้องบาลานซ์สิ่งที่ทำอยู่ กับ ยาที่เราใช้ ให้ไม่กระทบกับชีวิตประจำวันเรา
เช่น เราต้องการไดเอท ใช้ยาในโดส XXX mg ถ้าหากให้เราไปกินไก่ต้มจืดๆ และ ข้าวสวยแห้ง แน่นอนครับ ไม่นานเราก็จะล้มเลิก และ โมโห เพราะหิว
เราต้องค่อยๆปรับตัวไป จากกิน เละเทะ วันละ 3 มื้อ ก็อาจจะกินคลีน 1 มือ และ กินอะไรตามใจฉัน 2 มือ เพื่อให้ตัวเราคุ้นชิน และไม่หักโหมเกินไป
การกินคลีนก็ไม่ได้จำเป็นว่า ต้องทำอาหารออกไปทานข้างนอก เพียงแค่เราเข้าใจ หลัก Kcal in & Kcal out เราก็สามารถทานอะไรที่อยากทานได้ โดยไม่อ้วน พร้อมมีหุ่นที่ดีได้
สุดท้ายนี้ อยากฝากให้ผู้ที่เข้ามาอ่าน ลองมองย้อนไปกลับไปที่ชีวิตประจำวันตัวเอง และ พิจารณาดูว่า มีความเครียดมากน้อยแค่ไหน และค่อยๆเริ่มวางแผนปรับตัว เพื่อให้เราเข้ากับมันได้